การศึกษาพัฒนาพรมมิเพื่อใช้เป็นสมุนไพรบำรุงความจำ
The
development of Brahmi as memory enhancer
ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ประจำปี 2548-52
กรกนก
อิงคนินันท์1 วธู
พรหมพิทยารัตน์1 พรนรินทร์ เทพาวราพฤกษ์2 จินตนาภรณ์ วัฒนธร3 สุทิสา ถาน้อย2
นันทีทิพ ลิ้มเพียรชอบ1
สุภาพร
ชื่นชูจิตร2 ธนศักดิ์ เทียกทอง1 อรสร สารพันโชติวิทยา1 สุธิรา เลิศตระกูล2
วราภรณ์
ภูตะลูน4 ศักดิ์ชัย วิทยาอารีย์กุล1
จารุภา วิโยชน์1 นิวัติ
เทพาวราพฤกษ์2
สุภาพร มัชฌิมปุระ3
กรองกาญจน์
ชูทิพย์2 ศราวุฒิ อู่พุฒินันท์1 พูนศรี
รังสีศจี3 ดำรงศักดิ์ เป๊กทอง1
สีวบูรณ์ สิรีรัฐวงศ์5
1คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร 2คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์
มหาวิทยาลัยนเรศวร
3คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
4คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
5คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปัจจุบันอายุเฉลี่ยของประชากรโลกเพิ่มมากขึ้น
อัตราส่วนของคนสูงอายุกับคนหนุ่มสาวก็เพิ่มขึ้น
โรคที่เกิดจากความเสื่อมของระบบประสาทและความทรงจำ เช่น โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s
disease) เป็นโรคเรื้อรังและเป็นสาเหตุให้คุณภาพชีวิตของประชากรสูงอายุน้อยลง
ยาหรือสมุนไพรที่จะสามารถนำมารักษาหรือบรรเทาอาการโรคที่เกิดจากการเสื่อมนี้
จึงมีความสำคัญทั้งทางด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ
สมุนไพรที่มีศักยภาพในการนำมาใช้เพื่อบำรุงสมอง บำรุงความจำ ที่มีขายอยู่ในท้องตลาด
ได้แก่ ginkgo และโสม ซึ่งเป็นพืชที่ไม่สามารถปลูกได้ในประเทศไทย
คณะผู้วิจัยจึงได้จัดทำโครงการศึกษาพัฒนาพรมมิเพื่อใช้เป็นสมุนไพรบำรุงความจำ ซึ่งทางคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้ให้การสนับสนุนในการทำวิจัยมาแล้วเป็นเวลา
4 ปี (ปีงบประมาณ 2548-2552)
พรมมิมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า
Bacopa
monnieri
Wettst อยู่ในวงศ์ Scrophulariaceae
เป็นพืชสมุนไพรที่พบในเมืองไทยและประเทศแถบเอเชีย พรมมิใช้เป็นยาสมุนไพรในตำราอายุรเวทของอินเดียสำหรับช่วยเพิ่มความจำ
บำรุงสมอง มีสารออกฤทธิ์เป็นสารกลุ่ม saponins ซึ่งแบ่งเป็นสองกลุ่มย่อย
คือ jujubogenin glycosides และ pseudojujubogenin
glycosides มีรายงานการศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาของพรมมิต่อระบบทางสรีรวิทยาหลายระบบ โดยเฉพาะระบบประสาทส่วนกลางและความจำ
แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของสมุนไพรพรมมิในการเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยาสมุนไพรบำรุงความจำ
บำรุงสมอง
ตลอด 4
ปีที่ผ่านมา
คณะผู้วิจัยได้ทำการศึกษาพัฒนาสมุนไพรพรมมิเพื่อใช้เป็นสมุนไพรบำรุงความจำ
ทั้งในด้าน การพัฒนาการปลูก การศึกษาทางเคมี การสกัด การพัฒนาวิธีการวิเคราะห์
การพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรพรมมิ
การศึกษาประสิทธิภาพของสารสกัดพรมมิในทางเภสัชวิทยาทั้งในระดับหลอดทดลอง
สัตว์ทดลอง การศึกษาทางพิษวิทยา จนถึงการทดลองทางคลินิก ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดการศึกษาแต่ละด้านดังนี้
การศึกษาการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวพรมมิ
คณะผู้วิจัยได้ศึกษาการเพาะปลูกพรมมิโดยศึกษาผลกระทบของฤดูกาล
และอายุของพรมมิต่อปริมาณ saponins
ในส่วนต่างๆของพรมมิ เช่น ยอด ลำต้น ราก และใบ
จากผลการทดลองพบว่าในพรมมิมีปริมาณสาร saponins สูงในฤดูฝน
ในขณะที่มีน้ำหนักแห้งสูงสุดในฤดูร้อน ส่วนยอดจะมีปริมาณสาร saponins สูง กว่าส่วนล่างของต้นและส่วนราก เมื่อเปรียบเทียบปริมาณสาร saponins
ในพรมมิช่วงอายุ 1-4 เดือน พบว่าพรมมิที่อายุแตกต่างกันให้ปริมาณ saponins
ในพรมมิไม่แตกต่างกันมาก ผลการวิจัยนี้สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวเพื่อในได้ปริมาณผลผลิตของพรมมิและปริมาณ
saponins ที่สูง
การศึกษาทางเคมีและการควบคุมมาตรฐานวัตถุดิบ
ในการศึกษานี้ คณะผู้วิจัยได้ทำการควบคุมมาตรฐานวัตถุดิบและสารสกัดพรมมิ
และพัฒนาการวิเคราะห์สาร saponin
glycosides ซึ่งเป็นสารออกฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในพรมมิโดยใช้ HPLC
นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังพัฒนาใช้เทคนิคทางอิมมูนวิทยาในการตรวจวัดสารกลุ่ม
saponins ในพรมมิ โดยผลิต monoclonal และ
polyclonal antibody ที่จำเพาะต่อสาร saponin
glycosides ในพรมมิ โดยสามารถพัฒนาวิธี ELISA ซึ่งวิเคราะห์สาร
saponins ในพรมมิได้ในระดับนาโนกรัมต่อมิลลิลิตร
การพัฒนาสารสกัดและผลิตภัณฑ์ยาเม็ดพรมมิ
คณะผู้วิจัยได้พัฒนาวิธีการสกัด
ได้สารสกัดที่มีกลุ่มสาร saponins
สูง ซึ่งได้ทำการจดอนุสิทธิบัตรแล้ว สารสกัดพรมมิที่ผลิตขึ้นใช้ในการทดลองทั้งหมดในการศึกษานี้
สารสกัดนี้ มีความคงตัวที่อุณหภูมิ 5,
40 และ 60 °C ในเวลาไม่น้อยกว่า 28
วัน เมื่อเก็บสารสกัดพรมมิภายใต้อุณหภูมิไม่เกิน 25 °C มีความคงตัวไม่ต่ำกว่า 12 เดือน จากนั้น คณะผู้วิจัยได้ผลิตภัณฑ์ยาเม็ดขนาด
300 มก ที่มีคุณสมบัติทางกายภาพที่เหมาะสมและมีความคงตัวดี
การศึกษาทางเภสัชวิทยา
ผลของพรมมิต่อการเรียนรู้และความจำ
ในการศึกษาผลของสารสกัดพรมมิต่อการเรียนรู้และการป้องกันเซลล์ประสาทของสัตว์ทดลอง
พบว่าเมื่อให้สารสกัดพรมมิขนาด 20, 40 และ 80 mg/kg BW ในหนูแรทเพศผู้ เป็นเวลา 14 วัน
หนูมีการเรียนรู้และความจำดีขึ้น นอกจากนี้ คณะผู้วิจัยยังได้ศึกษาผลของสารสกัดพรมมิในสัตว์ทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เกิดสภาวะความจำบกพร่อง
ด้วยการฉีด scopolamine (0.6 mg/kg BW) เข้าช่องท้องหรือโดยการผูกหลอดเลือด
common carotid artery ในหนูถีบจักร โดยให้สารสกัดพรมมิขนาด 4,
40 และ 80 mg/kg BW เป็นเวลาติดต่อกันนาน 2
สัปดาห์ก่อนสมองถูกทำให้บกพร่อง
พบว่าพรมมิทุกขนาดสามารถป้องกันการสูญเสียความจำได้ นอกจากนี้
สารสกัดพรมมิยังป้องกันการสูญเสียความจำในหนูแรทที่ถูกชักนำให้เกิดภาวะความจำเสื่อมด้วยการฉีด
AF 64A ซึ่งเป็นสารที่ทำลาย cholinergic neuron และในหนูแรทที่ถูกทำลายสมองด้วยสารเคมี
kainic acid
คณะผู้วิจัยพบว่าสารสกัดพรมมิมีฤทธิ์ปกป้องเซลล์ประสาท
ในหนูแรทเพศผู้ที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรพรมมิ (ขนาด 4, 40, 80 mg/kg BW)
ก่อนการได้รับ beta amyloid เทียบกับหนูกลุ่มควบคุมและกลุ่มที่ได้รับ
beta amyloid เพียงอย่างเดียว
พบว่าสัตว์ทดลองในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดพรมมิทั้ง 3 ขนาด
ก่อนการได้รับ beta amyloid มีการตายของเซลล์ประสาท ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ได้รับ
beta amyloid เพียงอย่างเดียว
นอกจากนั้นสัตว์ทดลองกลุ่มที่ได้รับ beta amyloid มีจำนวน NMDA
receptor cell ในสมองส่วน frontal cortex เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
เมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม ซึ่งจำนวนของ NMDA receptor cells นี้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในกลุ่มที่ได้รับสารสกัดสมุนไพรพรมมิ
ผลการทดลองในสัตว์ทดลองนี้สอดคล้องกับการศึกษาสารสกัดพรมมิต่อการป้องกันเซลล์ประสาท
จากอันตรายที่เกิดจาก beta amyloid ในเซลล์สมองหนูเพาะเลี้ยง
ซึ่งพบว่าสารสกัดพรมมิมีฤทธิ์ป้องกันเซลล์ประสาทได้
จากการศึกษาฤทธิ์ปกป้องเซลล์ประสาทของสารสกัดพรมมิ
โดยใช้เซลล์สมองเพาะเลี้ยง พบว่าสารสกัดพรมมิสามารถปกป้องเซลล์ประสาทที่ถูกทำลายด้วย
beta
amyloid แต่ไม่สามารถปกป้องเซลล์ที่ถูกทำลายด้วย
glutamate กลไกของสารสกัดพรมมิต่อการเรียนรู้และความจำ คือการลด
lipid peroxidation และต้านการทำงานของ acetylcholinesterase
(AChE)
เมื่อศึกษาเปรียบเทียบผลของสารสกัดพรมมิกับสารสกัดจากใบแปะก๊วย
และยา donepezil ต่อพฤติกรรมการเรียนรู้และความจำของหนูแรทที่แก่ตามธรรมชาติ
ผลการทดลองหลังจากป้อนสารสกัดหรือยาติดต่อกันนาน 3 เดือน พบว่า หนูแก่ที่ได้รับสารสกัดพรมมิ (40 มก./กก.) มีการเรียนรู้และความจำเกี่ยวกับสถานที่
และความสามารถในการจดจำสิ่งของได้ดีพอๆ กับหนูแก่ที่ได้รับสารสกัดจากใบแปะก๊วย (60 มก./กก.)
และกลุ่มที่ได้รับยา donepezil (1 มก./กก.) และดีกว่าหนูแก่กลุ่มควบคุมที่ได้รับเฉพาะน้ำกลั่นอย่างมีนัยสำคัญ
ผลของพรมมิต่อระบบภูมิคุ้มกัน
คณะผู้วิจัยได้ศึกษาผลของสารสกัดพรมมิต่อระบบภูมิคุ้มกันในหลอดทดลอง
พบว่าสารสกัดพรมมิมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของหนูถีบจักร โดยยับยั้งการแบ่งตัวของ splenocytes
ซึ่งเป็นผลรวมของการกดการแบ่งตัวของ B-lymphocytes และกระตุ้นการแบ่งตัวของ T-lymphocytes
ผลของพรมมิต่อระบบหัวใจหลอดเลือด
จากการศึกษาพบว่าสารสกัดพรมมิมีฤทธิ์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว โดยออกฤทธิ์ผ่านทั้ง smooth muscle cells และ endothelium กลไกการออกฤทธิ์เกี่ยวข้องกับการสร้าง nitric oxide และ prostacyclin ตลอดจนการยับยั้งการเคลื่อนที่ของแคลเซียมเข้าสู่เซลล์
แต่ไม่ได้เกิดจากการต้านฤทธิ์ a1-receptor agonist
และไม่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของแคลเซียมภายในเซลล์
ผู้วิจัยได้ศึกษาผลของพรมมิต่อการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนโลหิตบนผิวเปลือกสมอง
ความดันโลหิต และอัตราการเต้นของหัวใจ
ของหนูแรทที่ได้รับสมุนไพรโดยการกินติดต่อกันนาน 2 เดือน
โดยศึกษาเปรียบเทียบกับผลของสารสกัดแปะก๊วย (Ginkgo biloba) จากผลการวิจัยเมื่อให้สารสกัดพรมมิ (40 mg/kg BW) หรือ
สารสกัดแปะก๊วย (60 mg/kg BW) ทางปากเป็นเวลานานติดต่อกัน 2
เดือน พบว่าทั้งสารสกัดพรมมิและสารสกัดแปะก๊วยมีผลเพิ่มการไหลเวียนโลหิตบริเวณหลอดเลือดแดงบนเยื่อหุ้มสมอง
โดยมีประสิทธิภาพเท่าๆกัน และสารสกัดพรมมิไม่มีผลทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นหัวใจของหนูแรทเปลี่ยนแปลงไป
การศึกษาทางพิษวิทยา
คณะผู้วิจัยทำการศึกษาพิษของสารสกัดพรมมิในหนูแรท
โดยป้อนสารสกัดทางปากขนาด 2
กรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวครั้งเดียว พบว่าไม่มีหนูตายภายหลัง 2 สัปดาห์ แสดงให้เห็นถึงค่า LD50 ของสารสกัดพรมมิที่ใช้ในกลุ่มทดสอบมีค่ามากกว่า 2g/kg ซึ่งบ่งบอกถึงความปลอดภัยของสารสกัดพรมมิที่ใช้ในการทดสอบ
เช่นเดียวกับผลของ sub-chronic toxicity ที่ไม่พบความผิดปกติเกิดขึ้นกับหนูแรทภายหลังจากได้รับสารสกัดพรมมิในปริมาณ
4, 40 และ 80 mg/kg BW เป็นระยะเวลา 100
วัน นอกจากนี้
ในการศึกษา chronic
toxicity ในหนูขาว
โดยป้อนสารสกัดพรมมิขนาด 30, 60, 300 และ 1,500
มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมน้ำหนักตัวเป็นเวลา 270
วัน ประเมินอาการ พฤติกรรมและสุขภาพสัตว์ พบว่าไม่มีความผิดปกติใดๆเช่นกัน
การศึกษาทางคลินิก
คณะผู้วิจัยได้ศึกษาผลของพรมมิในอาสาสมัครวัยกลางคนและสูงอายุ
(อายุมากกว่า 55 ปี) จำนวน 60 คน แบ่งเป็นกลุ่มที่ได้ยาหลอก และ ได้สารสกัดพรมมิขนาด
300 และ 600 มกต่อวัน เป็นเวลา 3 เดือน พบว่า สารสกัดพรมมิ เพิ่มคุณภาพชีวิตโดยเพิ่มประสิทธิภาพการทรงตัว
เพิ่มการตื่นตัวต่อสิ่งเร้า มีสมาธิมากขึ้น เพิ่มความสามารถในการเรียนรู้และความจำ
คลายอาการซึมเศร้า นอกจากนี้ จากการศึกษาระดับเอนไซม์ในอาสาสมัคร พบว่าอาสาสมัครที่บริโภคสารสกัดจะมีการกดการทำงานของ
AChE ตลอดจนเพิ่มการทำงานของ superoxide dismutase
(SOD), catalase (CAT) และ glutathione peroxidase (GPx)แต่ลดระดับ malondialdehyde (MDA) ใน serum ดังนั้นสารสกัดพรมมิจึงน่าจะออกฤทธิ์เพิ่ม working memory โดยการเพิ่มระดับ ACh และ ลดระดับ oxidative
stress ทำให้เพิ่ม working memory จากการศึกษายังไม่พบอาการพิษและภาวะข้างเคียงใดๆในอาสาสมัคร
การศึกษาอันตรกิริยาต่อยาของพรมมิ
การศึกษาผลของสารสกัดพรมมิต่อการทำงานของเอนไซม์ไซโตโครม
P450 (CYP)
ในตับหนูและในมนุษย์โดยวิธีการ in vitro พบว่าสารสกัดพรมมิมีผลต่ำในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์
CYP1A2, CYP2C, CYP2E1 และ CYP3A จึงประเมินได้ว่ามีโอกาสน้อยที่สารสกัดพรมมิในขนาดปกติจะก่อให้เกิดอันตรกิริยากับยาแผนปัจจุบันที่อาศัยเอนไซม์ดังกล่าวในการเปลี่ยนแปลงเพื่อการขจัดออกจากร่างกาย
สรุป
คณะผู้วิจัยสามารถพัฒนาวิธีการสกัด
และการควบคุมคุณภาพของสารสกัดพรมมิ ได้สารสกัดที่มีมาตรฐานและมีความคงตัว
รวมทั้งได้ศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพของวัตถุดิบพรมมิ
เมื่อนำไปศึกษาฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่าสารสกัดพรมมิที่ได้
มีผลกระตุ้นความจำและการเรียนรู้ในสัตว์ทดลอง นอกจากนี้
ยังพบว่าสารสกัดที่ได้มีฤทธิ์ป้องกันการถูกทำลายของเซลล์ประสาทอีกด้วย
ส่วนการทดสอบพิษ พบว่าสารสกัดพรมมิในขนาดที่ใช้ ไม่มีพิษต่อสัตว์ทดลอง
คณะผู้วิจัยได้พัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพรมมิ
และศึกษาประสิทธิภาพการบำรุงความจำของผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในมนุษย์
พบว่าเมื่ออาสาสมัครอายุมากกว่า 55 ปี ได้รับผลิตภัณฑ์พรมมิขนาด 300 และ 600 มก
ต่อวัน เป็นเวลา 3 เดือน อาสาสมัครมีความสามารถในการเรียนรู้และมีความจำเพิ่มขึ้น
โดยไม่พบผลข้างเคียงใดๆ
ในเดือนกันยายน พศ. 2554 งานวิจัยนี้
ได้ถูกถ่ายทอดเทคโนโลยีไปยังองค์การเภสัชกรรม
และทางองค์การเภสัชกรรมได้ดำเนินการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารพรมมิได้ในเดือนมกราคม
พศ. 2557 และได้ดำเนินการผลิตและจัดจำหน่ายแก่ประชาชนได้ในเดือนกันยายน พศ.
2557 ในชื่อ จีพีโอพรมมิ ชนิดเม็ด
ผลงาน
อนุสิทธิบัตร
กรรมวิธีการเตรียมสารสกัดที่มีซาโปนินสูงจากพรมมิ
เลขที่ 4018 คุ้มครองสิทธิตั้งแต่ 7 กุมภาพันธ์ 2551- 28 มกราคม 2556 ผู้ประดิษฐ์: รศ. ดร. กรกนก อิงคนินันท์ และ ดร. วธู
พรหมพิทยารัตน์
ผลงานตีพิมพ์
1. Phrompittayarat,
W., Putalun, W., Tanaka, H., Wittaya-areekul, S., Jetiyanon, K., and
Ingkaninan, K. (2007) An enzyme-linked immunosorbant assay
using polyclonal antibodies against bacopaside I. Anal. Chim. Acta. 584:1-6.
2. Phrompittayarat,
W., Putalun, W., Tanaka, H., Wittaya-areekul, S., Jetiyanon, K., and
Ingkaninan, K. (2007) Determination of pseudojujubogenin
glycosides from Brahmi based on immunoassay using a monoclonal antibody against
bacopaside I.
Phytochem. Anal. 18: 411-418.
3 Phrompittayarat,
W., Putalun, W., Tanaka, H., Jetiyanon, K., Wittaya-areekul, S., and
Ingkaninan, K. (2007) Comparison of various extraction
methods of Bacopa monnieri Naresuan University Journal. 15:29-34.
4. Kamonwannasit,
S., Putalun, W., Phrompittayarat, W. Ingkaninan, K., Tanaka, H. (2007)
Production of Pseudojujubogenin from callus cultures of Bacopa
monnieri (L.) Wettst. IJPS. 3: 53-59.
5. Phrompittayarat,
W., Wittaya-areekul, S., Jetiyanon, K., Putalun, W., Tanaka, H., and
Ingkaninan, K. (2007) Determination of saponin glycosides
in Bacopa monnieri by reversed phase high performance liquid
chromatography. Srinakharinwirot Journal of Pharmaceutical Sciences. 2: 26-32.
6. Limpeanchob
N., Jaipan S., Rattanakaruna, S., Phrompittayarat W., Ingkaninan K. (2008) Neuroprotective
Effect of Bacopa monnieri on beta-amyloid-induced cell death in primary
cortical culture. J. Ethnopharmacol. 119:214-217.
7. Saraphanchotiwitthaya
A., Ingkaninan K., Sripalakit P. (2008) Effect of Bacopa
monniera Linn. extract on murine immune response in vitro. Phytother Res. 22:1330-1335.
8. Phrompittayarat,
W., Wittaya-areekul, S., Jetiyanon, K., Putalun, W., Tanaka, H., and
Ingkaninan, K. (2008) Stability studies of saponins in Bacopa
monnieri dried ethanolic extracts. Planta Med. 74:1756-1763.
9. Imsungnoen N., Phrompittayarat W., Ingkaninan K., Tanaka H.,
Putalun W. (2009) Immunochromatographic assay for the
detection of pseudojujubogenin glycosides. Phytochem Anal. 20:64-7.
10.
Uabundit, N., Wattanathorn, J., Mucimapura, S., Ingkaninan, K. (2010) Cognitive
enhancement and neuroprotective effects of Bacopa monnieri in
Alzheimer's disease model. J. Ethnopharmacol. 127:
26-31.
11. Tothiam,
C., Phrompittayarat, W., Putalun, W., Tanaka, H., Sakamoto, S., Khan, I.A.,
Ingkaninan, K. (2011) An enzyme-linked immunosorbant assay using monoclonal
antibody against Bacoside A3 Phytochem Anal. 22:385-391
12. Kamkaew,
N., Scholfield C.N.,
Ingkaninan, K., Maneesai P., Tarec, M., Parkington, H., Chootip, K. (2011) Bacopa monnieri and its constituents is hypotensive in
anaesthetised rats and vasodilator in various artery types. J.
Ethnopharmacol. 134:790-795.
13. Kamkaew N., Scholfield N.C., Ingkaninan K.,
Taepavarapruk N., Chootip K. (2012) Bacopa monnieri increases cerebral blood
flow in rat independent of blood pressure. Phytother Res. In press.
14. Peth-Nui T., Wattanathorn J., Muchimapura
S., Tong-Un T., Piyavhatkul N., Rangseekajee P., Ingkaninan K., Vittaya-Areekul
S. (2013) Effects of 12-week Bacopa monnieri consumption on attention,
cognitive processing, working memory, and functions of both cholinergic and
monoaminergic systems in healthy elderly volunteers. Evid Based Complement
Alternat Med. In press.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น